สำหรับเด็กๆ ยุค 90 ถึง ยุค 2000 ก็ไม่มีใครไม่รู้จักกับ “The Rock”  หรือ ชื่อจริง Dwayne Johnson  ซุปเปอร์สตาร์แห่งวงการมวยปล้ำอันดับ 1 ของโลก ปัจจุบันเดอะร็อคไปเอาดีทางด้านวงการบันเทิง อาทิเช่น ภาพยนตร์, พิธีกรรายการ และไปเป็นแขกรับเชิญหลายๆ รายการ เขาประสบความสำเร็จอย่างสูงในฮอลลีวูด ได้รับบทแสดงนำในภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง เช่นในปี 2018 เขาสามารถขึ้นแท่นเป็นดาราที่ทำเงินภายใน 1 ปี สูงสุดในประวัติศาสตร์ (มิถุนายน 2017 – มิถุนายน 2018) กวาดไปถึง 124 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยนิตยสาร Forbes ยืนยันสถิติดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

แต่ถึงอย่างไรก็ตามกว่าชีวิตของเดอะร็อค จะก้าวมาไกลถึงขนาดนี้ เส้นทางของเขาก็ไม่เคยโรยไปด้วยกุหลาบ ในวัยเด็กเขาเจอกับมรสุมมากมายนับไม่ถ้วน เจอความผิดหวัง แต่ทุกสิ่งกลับหล่อหลอมให้เขากลายเป็น ดาราแห่งฮอลลีวูดอันดับ 1 ของโลกในเวลานี้

นักอเมริกันฟุตบอลที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน

เดอะ ร็อค เกิดมาในตระกูลที่มีสายเลือกนักมวยปล้ำโดยแท้จริง พ่อของเขาอย่าง ร็อคกี้ จอนสัน “Rocky Johnson” เป็นนักมวยปล้ำแอฟริกัน-อเมริกัน มีดีกรีแชมป์แท็กทีม ส่วนปู่ของเขายังเป็นนักมวยปล้ำในตำนาน อย่าง ปีเตอร์ มายเวีย

แต่สำหรับ ดเวย์น จอห์นสัน เขาเริ่มต้นเอาดีทางด้านกีฬาอย่าง อเมริกันฟุตบอลของมหาวิทยาลัย โดยมีชื่อทีมว่า “ไมอามีเฮอร์ริเคน” เป็นหนึ่งในทีมอเมริกันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทีมหนึ่งของระดับมหาวิทยาลัย ก่อนที่ ดเวย์น จะจบการศึกษาระดับมหาลัย คณะบริหารธุรกิจบัณฑิต หลังจากนั้นเขาก็ก้าวสู่วงการอเมริกันฟุตบอลระดับอาชีพทันที

เขาเล่นให้กับทีม แคลการี่ แสตมป์พีเดอร์ เขาลงเล่นให้กับทีมได้เพียงแค่ 2 เดือน ก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บหนักที่บริเวณหัวไหล่และส่วนหลัง สุดท้ายเขาต้องลงไปเล่นลีกรองในประเทศแคนาดา ได้รับค่าเหนื่อยเพียงแค่ 250 เหรียญต่อสัปดาห์ (7,000 กว่าบาท) เท่านั้น ส่งผลให้เขาต้องเลิกเล่นอเมริกันฟุตบอล ไม่เช่นนั้นเราอาจจะได้ เดอะ ร็อค บนเวทีคนชนคนของ NFL ก็ได้

หวนคืนสู่วงการมวยปล้ำ ที่สายเลือดเขาถนัด

หลังจากไม่สามารถก้าวสู่จุดสูงสุดของอเมริกันฟุตบอลได้แล้ว จึงตัดสินใจเข้าสู่วงการมวยปล้ำตามรอย พ่อและปู่ของเขา แต่ เดอะ ร็อค ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงทันที เขาต้องไปฝึกและเก็บประสบการณ์ในลีกเล็กอยู่นาน ก่อนที่จะมาในปี 1996 เขาได้ขึ้นโชว์จริงกับรายการแข่งขันมวยปล้ำ Survivor Series และได้รับเพียงบทรองๆ โดยใช้ชื่อว่า “Rocky Maivia”

ต่อมาทาง WWE (หรือ WWF ในสมัยนั้น) ผลักดันตัวเขาอย่างรวดเร็วจนมีแฟนคลับมากมาย เป็นนักมวยปล้ำขวัญใจของใครหลายๆ คน และยิ่งทวีความนิยมไปอีกเมื่อเขาได้รับบทให้อยู่ในกลุ่ม เนชั่น ออฟ โดมิเนชั่น “nation of domination” ต่อจากนั้นอีก 2 ปีต่อมา เขาก็สามารถคว้าแชมป์โลก WWE มาครองได้ด้วยอายุเพียง 26 ปีเท่านั้น

เริ่มก้าวสู่วงการบันเทิง

เดอะร็อค เดินหน้าเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นนักแสดงให้กับซิทคอมตลก อย่าง SNL และเรียกเรทติ้งได้อย่างมาก และนั่นทำให้เขาเป็นที่จับตามองของคนในวงการแสดง ไม่ว่าจะด้วยเอกลักษณ์ ฝีมือการแสดง ที่ดูแล้วไม่ได้มีดีแค่การเล่นมวยปล้ำ

จนมาในปี 2001 ดเวย์น จอห์นสัน เขาได้รับบทในหนังฟอร์มยักษ์อย่าง The mummy Returns เขาได้รับบทเป็นราชาแมงป่อง ก่อนที่จะได้รับบทนำครั้งแรกในเรื่อง “The Scorpion King” กวาดเงินไปได้ 5 ล้านเหรียญ อีก 2 ปีต่อมาเขาก็ได้รับบทแสดงนำในหนังแอคชั่นอย่าง “The Rundown” ที่นับว่าเป็นหนังสร้างชื่อให้แก่ เดอะ ร็อค และสร้างจุดขายให้เขาอย่างดี ถึงขนาดที่ Rolling Stone ยังเคยเขียนถึง เดอะร็อค ไว้ว่า “The Rock ไม่ใช่แค่เป็นนักแสดงแอคชั่นที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น เขายังสามารถแทรกมุขตลกได้อย่างดีเยี่ยม”

กลายเป็นนักแสดงหนังแอคชั่นเบอร์ 1

ดเวย์น จอห์นสัน มีผลงานในวงการฮอลลีวูดมากมาย จนได้รับการยอมรับจากทั้งแฟนหนัง, ผู้กำกับ รวมไปถึงนักแสดงด้วยกัน และผลงานที่ส่งให้เขาดังแบบฉุดไม่อยู่ คือ การเข้าร่วมเล่นในหนังชุดอย่าง Fast And Furious ปรากฏตัวครั้งแรกในภาค Fast 5 ส่งให้หนังทำเงินไปสูงกว่า 2,000 ล้านบาท และยังเล่นต่อไปใน Fast 6 และ 7 และยังประกบคู่กับนักแสดงดังๆ จากหลังดังหลายเรื่อง เช่น

– Jumanji ทั้ง 2 ภาคในปี 2017, 2019

– Central Intelligence ปี 2016 สุดยอดหนังคอมเมดี้ทำเงินไปกว่า 100 ล้านเหรียญ

– San Andreas ปี 2015

– Hercules ปี 2014 แสดงกับ เอียน แม็คเชน

– G.I. Joe: Retaliation ในปี 2013 ประกบคู่กับ บรูซ วิลลิส

– Pain & Gain ปี 2013 หนังรวมนักแสดงชั้นนำอย่าง มาร์ค วอห์ลเบิร์ก และ แอนโทนี่ แม็กกี้

และยังมีหนังอีกมากมายโดยเฉพาะในปี 2017-2018 เขามีหนังกว่า 5 เรื่อง ไม่นับผลงานอื่นๆ อย่าง งานพากย์เสียง หรือพิธีกร, ซีรีย์ จึงไม่แปลกใจที่เขาจะคว้าตำแหน่งนักแสดงทำงานสูงสุดของวงการฮอลลีวูด ณ ปัจจุบันนี้