Real Madrid
สโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด หรือ Real Madrid Club de Fútbo ที่คนไทยจะเรียกกันจนติดปากว่า ราชันย์ชุดขาว เป็นอีกหนึ่งขั้วอำนาจของวงการลูกหนังที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งอยู่ภายในประเทศสเปน มีสถานที่ตั้งอยู่เมืองหลวง เรียกได้ว่าเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งของสโมสรโลก ที่มีนักเตะเก่งระดับพระเจ้าประทานหมุนเวียนเข้าสู่เขตแดนแห่งราชันย์อย่างไม่ขาดสาย คว้าแชมป์ลาลีกามากถึง 33 สมัย โกปาเดลเรย์ 19 ครั้ง ซุปเปอร์โคปา 10 ครั้ง และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 13 สมัย และนอกจากนี้ยังคงเป็นสโมสรเพียงทีมเดียวที่ป้องกันแชมป์ 3 สมัยติดหลังจากปี 2000 นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2000 ทางฟีฟ่าได้จัดให้เรอัลมาดริดเป็นสโมสรที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ทำสถิติกรณีศึกษาพบว่า เรอัล มาดริด เป็นสโมสรที่ใหญ่ที่สุด และได้รับความนิยมสูงสุดในโลก นอกจากนี้ เรอัลมาดริดยังเป็นสโมสรทำรายได้มากที่สุดในโลก ทั้งยังมีเพลง Hala Madrid เป็นเพลงเชียร์ประจำของสโมสรอีกด้วย
Real Madrid First Class
สโมสรเรอัล มาดริดมีสนามเหย้าชื่อซานเตียโก เบร์นาเบว ซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดภายในกรุงมาดริด สโมสรนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1902 โดยที่ เรอัล มาดริด เป็นสโมสรที่มีหุ้นส่วนเป็นเจ้าของและผู้ดำเนินการ แต่หากมองไปถึงการเกิดขึ้นของสโมสรนี้อย่างแท้จริงต้องย้อนกลับไปในสมัยที่ กีฬาฟุตบอลพึ่งได้ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในกรุงมาดริด ซึ่งการละเล่นประเภทนี้มาจากนักวิชาการและนักศึกษาของโครงการสถาบันการศึกษาเสรี (Institución Libre de Enseñanza) รวมตัวกับผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และออกซ์ฟอร์ด และรวมตัวกันสร้างสโมสรฟุตบอลขึ้น ชื่อว่า ฟุตบอลคลับสกาย ในปี 1897 จะทำการเล่นกันทุกวันอาทิตย์ หลังจากนั้น 3 ปี คลับสกาย ได้แยกตัวออกเป็น 2 สโมสรภายในปี 1900 ได้แก่ นิวฟุตบอล เดมาดริด (New Foot Ball de Madrid) และ คลับเอสปัญญอล เดมาดริด (Club Español de Madrid) ก่อนที่จะกลับมาเป็นสโมสรฟุตบอลมาดริดอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ.1902 ภายใต้คณะกรรมการบริหารชุดใหม่โดยที่ ฆวน ปาโดรส เป็นประธานสโมสร หลังจากนั้นอีก 3 ปี สโมสรมาดริดคว้าแชมป์สแปนิชคัพเป็นครั้งแรก ด้วยการเอาชนะแอทเลติกบิลบาโอ
หลังจากนั้น ในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1909 มาดริดลงนามข้อตกลงตามรากฐานของสเปนทำให้เป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน เปิดใช้สนามครั้งแรกที่กัมโปเดโอโดเนล (Campo de O’Donnell) สามารถบรรจุคนได้ถึง 8,000 คนในปี 1912
Real Madrid First Stadium
จุดเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของสโมสรแห่งนี้คือการที่ King Alfonso XIII ได้พระราชทานชื่อ ตำแหน่ง “เรอัล” ให้กับสโมสรแห่งนี้ กลายเป็น เรอัล มาดริดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (เรอัล แปลว่าของกษัตริย์หรือของหลวง)
จากการก่อตั้งระบบการแข่งขันระหว่างสโมสร หรือ ลาลีกาลีกของประเทศสเปน ในปี 1929 ทำให้เกมการแข่งขันฟุตบอลภายในสเปนสนุกมากยิ่งขึ้น แต่ ความสนุกสนานในหน้าประวัติศาสตร์นั้นคงบอกเล่าเรื่องราวเป็นอย่างดี ของการเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวล ที่เรอัลมาดริด ทัพหลวงของมหาราชา ตกเป็นรอง บาร์เซโลนา และพลาดตำแหน่งแชมป์ไป เป็นสิ่งที่จุดไฟการแข่งขันให้ครุกรุ่น (จุดเริ่มต้นของการสร้างประวัติศาสตร์เอลกาซิโก)
Real Madrid King Alfonso XIII
ในปี 1931 เรอัล มาดริด ได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่งจากการที่สเปนเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง ไปใช้การปกครองระบอบสาธารณรัฐ ทำให้ไม่มีกษัตริย์คอยสนับสนุนสโมสร ในปี 1936 เกิดสงครามกลางเมืองสเปน(1936-1939) เป็นตัวจุดชนวนการเปลี่ยนแปลงของสเปนและโลกอีกครั้ง เพราะหลังจากจบสงครามการเมืองความขัดแย้งที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทันที (1939-1945) แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นเกมการแข่งขันฟุตบอลของสเปนยังคงดำเนินการต่อไป
ในช่วงนี้ สิ่งที่หนึ่งที่สร้างความเจ็บปวดและกลายเป็นที่จดจำถึงปัจจุบัน คือ เหตุการณ์ถ้วยรางวัลของจอมพล (จอมพลฟรังโก) จากการที่ สโมสรเรอัล มาดริดเอาชนะสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ด้วยสกอร์11-1 ด้วยคำกล่าวที่ว่า ที่นักฟุตบอลบาร์เซโลนา ได้ลงเล่นก็เพราะความใจกว้างของรัฐบาลที่อนุญาตให้พวกเขายังอยู่ในประเทศในปี ค.ศ.1943 (ด้วยเหตุการณ์นี้ได้จุดชนวนของจุดเริ่มต้นแห่งความเกลียดชัง El Clásico ทันที)
หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ซานเตียโก เบร์นาเบว เยสเต ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานของสโมสรเรอัล มาดริด พร้อมทั้งสร้างสนามกีฬา โดยใช้ชื่อว่า เอสตาดีโอชามาร์ติน (Estadio Chamartín) ทั้งยังเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ทางการเงินและนักเตะด้วยการซื้อ อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน หนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาลของเรอัล มาดริด (อีกหนึ่งชนวนที่ทำให้ชาวกาตาลุนย่าเกลียดนายพลฟรังโก้)
Real Madrid Alfredo Di Stefano
ในปี 1955 การแข่งขันนิทรรศการของทีมชั้นนำในยุโรปได้เกิดขึ้น เป็นที่รู้จักกัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หลังจากนั้นเองที่ทำให้การแสดงออกให้ เห็นถึงการเป็นเจ้ายุโรป ด้วยการเป็นแชมป์ 5 สมัยซ้อน (1956-1960) และ ยังคงได้แชมป์อีกครั้งในปี 1966 ส่วนในช่วงลีกลาลีก้า เรอัล มาดริดได้แชมป์ต่อเนื่อง 5 สมัยเช่นกัน (1961-1965) ก่อนที่จะถูกแอตมาดริด คว้าแชมป์ ในปี 1966 แต่หลังจากนั้น ในปี 1967-1969 ก็เป็นเรอัลมาดริดที่คว้าแชมป์ลีกอีกครั้ง และภายในช่วงที่ ซานเตียโก เบร์นาเบว เยสเต ดำรงตำแหน่งประธานอยู่ ทำให้เรอัล มาดริดได้แชมป์ลีก ถึง 16 ครั้ง เมื่อมาถึงวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1978 ประธานสโมสร ซานเตียโก เบร์นาเบวได้เสียชีวิตลง เรอัลมาดริดได้ประกาศใช้ชื่อ สนามเหย้าเป็น เอสตาดีโอซานเตียโก เบร์นาเบว
นักเตะฝึกหัดของทีมเยาวชน เรอัล มาดริด ที่นำความสำเร็จกลับมาที่สโมสร
ในปี1998 จบการรอคอยที่ยาวนานกว่า 32 ปี ด้วยการคว้าแชมป์ยุโรปถ้วยที่ 7 นับเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์ของเรอัลมาดริด
และกำลังจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ด้วยการมีนักเตะเก่งๆมากมาย ได้แก่ โรเบร์ตู การ์ลูส, เพรดรัก มีจาโตวิช, ดาวอร์ ซือเกอร์, คลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ, ราอุล กอนซาเลซ, เฟร์นันโด เอียร์โร, อีวาน ซาโมราโน และเฟร์นันโด เรดอนโด
หลังจากปี 2000 ที่เรอัลมาดริดได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 8 ขุนพลในช่วงเวลานั้นถูกเรียกว่ากาลาติกอส (Galácticos) เนื่องจากการแต่งตั้งประธานสโมสรคนใหม่นักธุรกิจชาวสเปนที่รวยที่สุดในประเทศสเปน ณ เวลานั้น คือ โฟลเรนตีโน เปเรซ ทั้งยังประกาศก้าวว่า จะลบหนี้และสร้างสิ่งทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่สโมสร พร้อมกับพาทีมเข้าสู่วงจรแห่งชัยชนะอีกครั้ง สร้างปรากฏการณ์ ช็อคโลกฟุตบอลอีกครั้งในการซื้อตัว ลูอิช ฟีกู อดีตนักเตะของเจ้าบุญทุ่ม
Real Madrid Galatigos รุ่นที่ 1 โปรเจกต์รวมแข้งสตาร์ระดับโลก
กาลาติกอส เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2000-2006 จากการใช้เงินซื้อเหล่านักฟุตบอลชื่อดังเข้าสู่ทีม ในยุคแรกประกอบไปด้วย
หลุย ฟิโก้ ถูกซื้อด้วยราคา 38.7 ล้านปอนด์ มาจากบาร์เซโลนา ในปี ค.ศ. 2000
ซีเนดีน ซีดาน ถูกซื้อด้วยราคา 46 ล้านปอนด์ มาจากยูเวนตุส ในปี ค.ศ. 2001
โรนัลโด ถูกซื้อด้วยราคา 26 ล้านปอนด์ มาจากอินเตอร์มิลาน ในปี ค.ศ. 2002
เดวิด เบคแฮม ถูกซื้อด้วยราคา 25 ล้านปอนด์ มาจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในปี ค.ศ. 2003
ไมเคิล โอเวน ถูกซื้อด้วยราคา 8 ล้านปอนด์ พ่วงอันโตเนียว นูเญซ มาจากลิเวอร์พูล ในปี ค.ศ.2004
ฟาบีโอ คันนาวาโร ถูกซื้อด้วยราคา 7 ล้านปอนด์ มาจากยูเวนตุสในปี ค.ศ.2006
ชูลิโอ บาปติสต้า ถูกซื้อด้วยราคา 13.8 ล้านปอนด์ มาจากเซบียาในปี ค.ศ.2005
โรบินโญ ถูกซื้อด้วยราคา 20 ล้านปอนด์ มาจากซานโตส ในปี ค.ศ.2005
เซร์คิโอ รามอส ถูกซื้อด้วยราคา 20 ล้านปอนด์ มาจากเซบียา ในปี ค.ศ.2005
ราอูล กอนซาเลส เด็กปั้นเรอัลมาดริด ขึ้นชุดใหญ่ในปี ค.ศ.1994
อิเกร์ กาซิยาส เด็กปั้นเรอัลมาดริด ขึ้นชุดใหญ่ในปี ค.ศ.1999
ทำให้นักเตะของทีมเต็มไปด้วยดาวดังมากมาย คือ อิเกร์ กาซิยาส, วอลเตอร์ ซามูเอล,ฟาบีโอ คันนาวาโร, อิบัน เอลเกรา, มิเชล ซัลกาโด, เดวิด เบคแฮม, หลุย ฟิโก้, ซีเนดีน ซีดาน, กูตี, โรนัลโด,โรเบร์ตู การ์ลูส และ ราอูล กอนซาเลส ฯลฯ
แต่หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ถึงแม้ว่าจะมีนักเตะที่สุดยอดมากมาย แต่การผลงานกับได้ไม่เท่ากับที่คาดหวังเอาไว้ ล้มเหลวที่จะคว้าแชมป์อย่างต่อเนื่องถึงแม้จะอุดมไปด้วยนักเตะระดับโลก ทำให้เปเรซหลุดจากตำแหน่งประธานสโมสร ในปี ค.ศ.2007 และมี รามอน กัลป์เดรอนเข้ามาแทนที่ อย่างไรก็ตาม รามอน กัลป์เดรอน ทำผลงานได้แย่กว่าหลังจากที่บาร์เซโลนาคว้า 3 แชมป์ในปี ค.ศ.2008-2009 ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโฟลเรนตีโน เปเรซ จึงกลับมาเป็นประธานสโมสรอีกครั้ง
Real Madrid Second Galatigos โปรเจกต์กาลาติกอส รุ่นที่ 2
เรอัลมาดริดต้องการที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยความคิด กาลาติกอสยุคที่ 2 นำนักเตะซูเปอร์สตาร์ของยุคมารวมตัวในสโมสรอีกครั้ง ประกอบไปด้วย
เปเป้ ถูกซื้อด้วยราคา 30 ล้านยูโร มาจากปอร์โต้ ในปี ค.ศ.2007
เวสลีย์ สไนเดอร์ ถูกซื้อด้วยราคา 27 ล้านยูโร มาจากอายักซ์ในปี ค.ศ.2007
อาร์เยิน ร็อบเบน ถูกซื้อด้วยราคา 35 ล้าน มาจากเชลซีในปี ค.ศ.2007
กาก้า ถูกซื้อด้วยราคา 65 ล้านยูโร มาจากเอซี มิลานในปี ค.ศ.2009
คริสเตียโน โรนัลโด ถูกซื้อด้วยราคา 94 ล้านยูโร มาจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในปี ค.ศ.2009
คาริม เบนเซมา ถูกซื้อด้วยราคา 41 ล้านยูโร มาจากโอลิมปิกลียง ในปี ค.ศ.2009
ชาบี อลอนโซ ถูกซื้อด้วยราคา 34 ล้านยูโร มาจากลิเวอร์พูล ในปี ค.ศ.2009
หลังจากการซื้อตัวนักเตะใหม่มากมายเพื่อสร้างกาลาติกอสยุคที่ 2 คริสเตียโน โรนัลโด ที่มีทักษะและฝีมือ นับว่าเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนของนักเตะที่สร้างปรากฏการณ์ ต่างๆ ทั้งยังมีเทพบุตรนักเตะริคาโด กาก้า ทั้งยังตัดสินใจเซ็นสัญญากับโชเซ มูรินโญ ในการเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในปี ค.ศ.2010
จนสร้างปรากฏการณ์ในฤดูกาล 2011-12 กลับมาคว้าแชมป์ลาลีกาอีกครั้ง เป็นสมัยที่ 32 ทั้งยังทำลายสถิติอื่นๆอีกไม่น้อยด้วยการ จบอันดับ 1 ของฤดูกาลด้วย 100 คะแนน ยิงประตูทั้งหมด 121ประตู และเสียประตูเพียงแค่ 32 ประตู ด้วยการชนะ 32 นัด เสมอ 4 นัด และ แพ้เป็นจำนวน 2 นัดเท่านั้น ทำให้ คริสเตียโน โรนัลโด เป็นผู้เล่นทำประตูมากกว่า 100 ลูกเร็วที่สุดการลงเล่นแค่ 92 นัด เป็นผู้เล่นที่ทำประตูสูงสุดของ 1 ปีปฏิทิน ถึง 60 ประตู โดยที่ยิงทุกสโมสรในลาลีกาเพียงฤดูกาลเดียว (19 ทีม) แต่อย่างไรเรื่องราวดราม่าจากยอดกุนซือ The Special One ย่อมมีเช่นกัน จากกรณีมีปัญหากับนักเตะ ทำให้สโมสรไม่ได้แชมป์รายการใด ๆ ทำให้ มูรินโญ ยกเลิกสัญญากับสโมสร
การ์โล อันเชลอตตี อดีตนักเตะของเอซี มิลาน เจ้าของตำนานมากมาย พาทีมคว้าแชมป์ยุโรป 2 ครั้ง สร้างสถิติโลกไว้ด้วยการ ซื้อ แกเร็ธ เบล ด้วยราคา 100 ล้านยูโร มาจากสเปอร์ส คว้าแชมป์โกปาเดลเรย์ และ คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นสมัยที่ 10 ทำให้ถูกเรียกว่า ลาเดซีมา (La Decima) แต่อีก 1 ปีต่อมา ทำสถิติชนะติดต่อกัน 21 นัด แต่ไม่ได้แชมป์ใดๆเลย ทำให้อันเชลอตตีถูกปลด เรียกได้ว่าเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและตกอย่างรวดเร็วเช่นกัน
อย่างที่รู้กันดีว่า เบนีเตซ เป็นกุนซือที่นำพาทีมลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปี ค.ศ. 2005 แต่ผลงานกลับไม่ได้ดีกว่า อันเชลอตตี ด้วยการชนะ 11 นัด จาก 18 นัด ซึ่งด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ถูกปลดออกจากการเป็นผู้จัดการทีม ในปี 2016 และ แต่งตั้ง ซีเนอดีน ซีดาน อดีตสตาร์ดังของทีมเข้ามาเป็นผู้จัดการแทน แม้ว่าจะมีการปิดฉากในฐานะนักฟุตบอลไม่สวยงามเท่าไรนัก แต่ว่า ในฐานะผู้จัดการทีมเขาประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัยติด และกลายเป็นผู้เล่นและผู้จัดการทีมคนที่ 7 ที่คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
Campo de O’Donnell เป็นสนามที่ถูกใช้ในปี ค.ศ. 1912 หลังจากนั้นในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 1923 ได้ย้ายสนามเหย้าไปแข่งที่ Estadio Chamartín สามารถรองรับผู้ชมได้ถึง 22,500 คนและ ฉลองตำแหน่งแชมป์ลีกสเปนครั้งแรก แต่ว่าสนามนี้ยังคงไม่เพียงพอต่อความทะเยอทะยานของสโมสร เรอัลมาดริดจึงได้ทำการสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ขึ้น จากคำกล่าวที่ว่า สโมสรที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ย่อมมีสนามกีฬาที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน สนามฟุตบอลที่มีชื่อเสียงในกรุงมาดริดจึงได้กำเนิดขึ้น ได้แก่ สนามกีฬาซานเตียโก เบร์นาเบว (Estadio Santiago Bernabéu)
เปิดใช้ วันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1944 ด้วยชื่อ เอสตาดีโอชามาร์ติน (Estadio Chamartín) และ ถูกใช้ในเกมการแข่งขันอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 1947
วันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1955 ได้ทำการเปลี่ยนชื่อสนามใหม่ เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานสโมสร โดยให้ชื่อว่า ซานเตียโก เบร์นาเบว เยสเต (Santiago Bernabéu Yeste)
ก่อนหน้านี้ เมื่อประมาณปี 1953 ภายในสนามสามารถจุผู้ชมได้มากถึง 120,000 คน แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นานเท่าไรนักต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สนามฟุตบอลทันสมัยมากขึ้น และ ยูฟ่ามีกฎให้ยกเลิกตั๋วยืนในฤดูกาล 1998-99 ทำให้เหลือจำนวนผู้ที่เข้าชมอยู่ที่ 80,400 ที่นั่ง
สนามฟุตบอลแห่งนี้มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นของตัวเอง โดยจะมีรถไฟฟ้าใต้ดินหมายเลข 10 วิ่งเป็นประจำ ส่วนทางด้านรถโดยสารประจำทางที่วิ่งผ่านสเตเดี้ยม จะมีประจำทางหมายเลข 14, 27, 40, 43, 120, 147 และ 150 พร้อมบริการทัวร์ชมสนาม ห้องพักนักกีฬาต่างๆและพิพิธภัณฑ์ข้อมูล ประวัติและถ้วยรางวัลต่างๆของสโมสร
ในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 เรอัลมาดริด สนามกีฬาอัลเฟรโด ดี สเตฟาโน สเตเดียม (Alfredo Di Stéfano Stadium) ให้กลายเป็นสถานที่ฝึกซ้อมใหม่ของสโมสรตั้งอยู่นอกกรุงมาดริด ตามชื่อ นักเตะในตำนานของทีมราชันย์ชุดขาว
ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 ได้เปลี่ยนสถานะสนามฟุตบอลเป็น Elite จากทีมงานของยูฟ่า
เรียกได้ว่าเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของวงการฟุตบอลไปแล้ว ที่มักจะมีการแข่งขันที่รุนแรง โหดร้าย ระหว่างสองทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในลีกเป็นกรณีพิเศษ โดยที่ลาลีกา เกมการแข่งขันฟุตบอลระหว่าง เรอัลมาดริด และบาร์เซโลนา จะเป็นที่รู้จักกันในนาม “The Classic” (El Clásico) ตัวแทนของสองภูมิภาค ระหว่าง คาตาโลเนียและคาสติล การแข่งขันนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการเดิมพันธุ์ด้วยชาติกำเนิด การเมือง วัฒนธรรม ประเพณี ภาษา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปีค.ศ. 1928 การก่อตั้งของสมาชิกฟุตบอลลีกสเปนเป็นจำนวน 10 ทีม บาร์เซโลน่า เป็นทีมที่คว้าแชมป์อย่างเป็นทางการครั้งแรก และ ยังเป็นรายการใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินสเปนนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1899 เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้นเนื่องจากบาร์เซโลน่าถูกนายพลฟรังโก้จ้องทำลาย ภายใต้นโยบายสเปนต้องเป็นหนึ่งเดียว ทำให้ฟุตบอลคู่นี้ดุเดือดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
สิ่งที่ทำให้การรวมประเทศเป็นไปได้ยาก และ สร้างความขุ่นเคืองให้กับชาว คาตาลัน คือ นโยบายที่เดินหน้าด้วยการกดขี่ข่มเหงประชาชน การละเมิดสิทธิส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามพูดภาษาท้องถิ่น หรือ ธงประจำแคว้นซึ่งสวนทางกับแคว้นชาตินิยมสูงอย่าง กาตาลุนย่า และ บาสก์ ชนวนที่รุนแรงครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1936 ลูกสมุนของนายพลฟรังโก้ลอบสังหารโฆเซป ซูโยล อดีตประธานสโมสรของบาร์เซโลน่า ทำให้แฟนฟุตบอลสะเทือนใจเป็นอย่างมาก และ เหตุการณ์นี้ยังต่อเนื่องด้วยการที่ นายพลฟรังโก้แต่งตั้งคนใกล้ชิดให้เข้าไปเป็นประธานสโมสรบาซ่า เพื่อทำลายสโมสรจากภายใน จนเกือบล้มละลายเป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์สโมสร หลังจากเหตุการณ์นี้ บาร์เซโลน่าได้รับความช่วยเหลือจากประเทศ เม็กซิโก จึงรอดพ้นวิกฤตทางการเงินคราวนั้น บาร์เซโลนา จึงกลายเป็น “มากกว่าสโมสร” เป็นการแสดงตัวตนของชาวคาตาลัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเพียงแค่เรอัล มาดริดเท่านั้นที่เป็นฝ่ายกระทำ ชาวกาตาลุนย่าก็เคยทำให้แฟนบอลมาดริดโกรธแค้นเฉกเช่นเดียวกันในปีค.ศ. 1916 นักเตะของเรอัล มาดริดคนหนึ่ง ถูกยิงเสียชีวิตในแผ่นดินกาตาลุนย่า แต่ก็ไร้หลักฐาน
ในปีค.ศ. 1930 ฟุตบอลถ้วยรอบชิงชนะเลิศ เรอัล มาดริด กับ แอธเลติก บิลเบา ในการแข่งนัดนั้น เรอัล มาดริดพ่ายแพ้แบบน่าเกลียด และ ไม่เป็นธรรมจากกรรมการชาวคาตาลัน
เหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของบาร์เซโลน่า เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1943 บาเซโลน่าชนะเรอัลมาดริด 3-0 หลังจากนั้นนายพลฟรังโก้จึงได้ประกาศทั่วแผ่นดินสเปน ว่า ฟุตบอลคู่นี้ได้ถูกจัดขึ้นเพราะความกรุณาของทางรัฐบาล ทั้งยังต้อนรับบาร์เซโลน่าด้วยกำลังทหาร เป็นที่มาของเหตุการณ์ฟุตบอลโคตรมหาโกง ซึ่งประกอบไปด้วยทหาร กรรมการ เด็กเก็บบอล เป็นคนของนายพลฟรังโก้ทั้งสิ้น กับผลสกอร์ 11-1 และจารึกแมตช์อัปยศอย่างสวยหรู ว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหนือบาเซโลน่า
เหตุการณ์การซื้อตัวนักเตะระดับโลก Di Stéfano ภายใต้แผนการของนายพลฟรังโก้ เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ทำให้ชาวคาตาลันรู้สึกขุ่นเคือง
ตอกย้ำให้เหตุการณ์ซื้อตัวนักเตะระอุเพิ่มขึ้นอีก ในกรณีของ Luís Figo รองกัปตันทีมบาเซโลน่า ย้ายตัวไปเรอัลมาดริดในปี 2000 ประเด็นอยู่ที่ว่าลูอิช ฟีกูกล่าวไว้ว่า “I’ll stay at Barcelona whether Pérez wins or loses.”แปลได้ว่า “ฉันจะอยู่ที่บาร์เซโลนาไม่ว่าจะเปเรซชนะหรือแพ้” หลังจากกล่าวพูดคำนี้ ก็ย้ายสโมสรไปยังคู่อริศึกเอลกราซิโก้
หากว่า El Clásico คือการแข่งขันระหว่าง บาเซโลน่ากับเรอัลมาดริด การแข่งขันจากสโมสรร่วมเมืองมาดริดเกิดขึ้นจากการแข่งขันฟุตบอลระหว่างแอตเลติโกมาดริดและเรอัลมาดริด สาเหตุการแข่งของทั้งสองสโมสรเริ่มขึ้นในต้นศตวรรษที่ยี่สิบ การแข่งขันของทั้งสองทีมอยู่ตั้งแต่สมัยเริ่มก่อตั้งของสโมสรทั้งคู่ สาเหตุหนึ่งจากการแยกตัวของเหตุการณ์ฟุตบอลคลับสกาย ในปี 1900 กลายเป็น 2 สโมสร ซึ่งเรอัลมาดริดก่อตั้งขึ้นใหม่ในปี 1902 ส่วนแอตเลติโก มาดริด ก่อตั้งในปี 1903 มีจุดเริ่มต้นถึงนักฟุตบอลที่เก่งๆของเรอัลมาดริดค่อยๆทยอยหายตัวไป และ ปรากฏทีมแอตเลติโก มาดริดขึ้นมาด้วยนักเตะที่หายตัวไป (นักเตะบาสก์ 3 คน) เป็นความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นหลังจาก ถูกรวมเข้ากับทีมฟุตบอลของกองทัพอากาศสเปน การแข่งขันครั้งแรกที่ได้รับความสนใจของทั้ง 2 ทีม เกิดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1959 ในฟุตบอลรายการ European Cup การแข่งขันได้ถูกบันทึกเรื่อยมา ปัจจุบันเรอัลมาดริดกำชัยชนะมากกว่า 100 ครั้ง ส่วน แอตเลติโกนั้นอยู่ที่ประมาณ 50-60 ครั้ง เท่านั้น ที่สำคัญในศึกระหว่าง 2 ทีมร่วมเมือง Cristiano Ronaldo เป็นผู้ทำประตูสูงสุด 22 ประตู
เนื่องจากเรอัลมาดริดและแอธเลติกบิลเบา เป็นสโมสรที่เกิดขึ้นในช่วงแรกๆและโดดเด่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลสเปน พอๆกับศึก El Clásico แอธเลติกบิลเบาใช้ผู้เล่นในท้องที่เพื่อแข่งขันกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่มาตลอดทุกยุคทุกสมัย เป็นหนึ่งในทีมที่ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ซึ่งของพวกเขาจะมีแนวความคิดทางการเมืองไปทางบาร์เซโลนาเป็นกีฬาเป็นสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคบาสก์
สัญลักษณ์ตราของสโมสรถูกออกแบบมาอย่างเรียบง่ายจากชื่อสโมสร Madrid Club de Fútbol และนำเอา MCF มาใช้ในการออกแบบตัวสัญลักษณ์ ในปีค.ศ. 1920 มีการเพิ่มเติมสัญลักษณ์ เป็นมงกุฎกษัตริย์อัลฟองโซที่ 13 ใส่เข้าไปไว้บนสัญลักษณ์เดิม ทั้งยังเปลี่ยนแปลงล่าสุดในปี 2001 และใช้มาจนถึงปัจจุบัน
Real Madrid เป็นสโมสรที่มีการหยิบยกเอาไปทำภาพยนตร์ต่อเนื่อง 2 ภาคด้วยกัน ได้แก่ Goal! The Dream Begins ในปีค.ศ. 2005 และ Goal II: Living the Dream ในปีค.ศ. 2007 โดยที่ภาพยนตร์ชุดนี้ บรรดานักเตะของทีมได้ลงไปเล่นอยู่ภาพยนตร์เองด้วย เช่น David Beckham, Ronaldo(R9), Sergio Ramos, Roberto Carlos, Ronaldinho, Robinho, Zinédine Zidane, Carles Puyol, Samuel Eto’o, Iker Casillas, Thierry Henry, Arsène Wenger, Freddie Ljungberg, Roberto Soldado, Vicente Rodríguez, Lionel Messi และคนอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งหนังเรื่องนี้ผ่านการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากยูฟ่า
นอกจากนี้ ยังมีภาพยนตร์สารคดีที่แสดงออกให้เห็นถึงความหลงใหลในสโมสรชวนฝันแห่งนี้ ด้วยชื่อ เรื่อง Real, The Movie ในปีค.ศ. 2005 ผลิตโดยสโมสรและกำกับโดย Borja Manso ภายในภาพยนตร์มันยังมีภาพที่เกิดขึ้นจากสโมสรด้วยอย่างแท้จริง การฝึกอบรมของ Real Madrid Academy
ที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างของ Real Madrid คือ The book White Storm: 100 years of Real Madrid เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ 100 ปี ช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของสโมสร และ เหตุการณ์ต่างๆที่กระทบเข้ามา จนถึงปี 2002 ได้รับการแปลภาษาทั่วโลก
ในปี 2011 มีการจัดทำเพลงร้องประจำสโมสร รีมิกซ์เพลงใหม่ “Himno del Real Madrid,”
Real Madrid TV เป็นช่องทีวีดิจิตอล ที่มีการเรียนการสอน ของศูนย์ฝึกอบรม Real Madrid ผ่านช่องทางโทรทัศน์
Hala Madrid เป็นนิตยสารตีพิมพ์แบบไตรมาส กับ ผู้ที่ถือบัตร Real Madrid club members โดยภายในนิตยสารจะรายงานเกี่ยวกับการแข่งขันของสโมสร และ ความเคลื่อนไหวต่างๆ รวมไปถึง ทีมสำรองทีมเยาวชน และ องค์ประกอบรวมไปถึงการสัมภาษณ์ผู้เล่นทั้งในอดีตและปัจจุบันและการแข่งขันในประวัติศาสตร์ของสโมสร
Video games สโมสรเรอัล มาดริดปรากฏอยู่ภายในเกม 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ที่เกี่ยวกับฟุตบอลอย่าง FIFA และ Pro Evolution Soccer ซึ่งตัวผลิตภัณฑ์ของเกมดังกล่าวจะเป็นโหมดอาชีพที่มีการผสมผสานระหว่างการสวมบทบาทและการจำลองการเล่นเกมฟุตบอลสไตล์อาร์เคด
เรอัล มาดริดเป็นหนึ่งในทีมยักษ์ใหญ่ของเวทีลาลีกา เดินทางมาเตะกับทีมชาติไทยในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2548 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน โดยมีผลการแข่งขันเรอัลมาดริดชนะทีมชาติไทยไป 2-1 ประตู
เป็นสโมสรที่มีค่าทำรายได้มากที่สุดในโลก ในปี 2017/18 ด้วยจำนวนเงิน 750 ล้านยูโร
ถ้วยโทรฟี่ยุโรป ยูฟ่าคัพวินเนอร์ เป็นถ้วยเดียวที่ เรอัล มาดริดไม่เคยได้สัมผัส
เรอัล มาดริด เป็นหนึ่งในทีมที่ยิงติดต่อกันมากที่สุดในโลก โดยยิงต่อเนื่อง 73 นัด เท่ากับ ทีมซานโต๊ส ทำไว้ เมื่อปี ค.ศ. 1961–1963 ตามยุคสมัยของเปเล่
ในปี ค.ค. 2014 แนวรุกของ เรอัลมาดริดมีราคาแพงมากที่สุดในโลก รวมกันสูงถึง 276 ล้านปอนด์ ก่อนจะถูกทำลายโดยสโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง
ในฤดูกาล 2009/10 เรอัลมาดริดทำสถิติผลต่างประตูได้เสียเยอะสุด คือ +89 บนเวทีลาลีกา
ในฤดูกาล 2011/12 เรอัลมาดริดทำสถิติในการทำประตูได้มากสุด 121 ประตูตลอดทั้งฤดูกาลมากที่สุดในเวทีลาลีกา
เรอัลมาดริดทำคะแนนรวมมากสุด 100 คะแนน ในฤดูกาล 2011/12 เทียบเท่ากับบาเซโลน่าในฤดูกาล 2012/13 สำหรับเวทีลาลีกา
เทียบคะแนน 5 ลีกชั้นนำของยุโรป
กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ทีมสโมสรยูเวนตุสในฤดูกาล 2013/14 ที่ทำคะแนนได้ 102 คะแนน [38 นัด]
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทีมสโมสรแมนเชสเตอรซิตี้ในฤดูกาล 2017/18 ที่ทำคะแนนได้ 100 คะแนน [38 นัด]
ลีกเอิง ฝรั่งเศส ทีมสโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในฤดูกาล 2015/16 ที่ทำคะแนนได้ 96 คะแนน [38 นัด]
บุนเดสลีกา เยอรมัน ทีมบาเยิร์น มิวนิค ในฤดูกาล 2013/14 ที่ทำคะแนนได้ 91 คะแนน [34 นัด]
ดอมินิก โชลังเก กองหน้าดีกรีทีมชาติอังกฤษจาก บอร์นมัธ (Bournemouth) มาเสริมทัพเมื่อช่วงซัมเมอร์ 2024 ที่ผ่านมา และก็ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะตอนนี้ดาวเตะกำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น ซัดในลีกไปแล้วถึง 7 ประตู กับ 3 แอสซิสต์...[...]
อเล็กซานเดอร์ อิซัค เรียกว่าเซอร์ไพรส์แฟนบอล พรีเมียร์ลีก ไม่น้อย หลังจากที่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (Newcastle United) ยักษ์หลับที่ใครๆ ก็ปรามาสว่าจะต้องลุ้นหนีตกชั้นในฤดูกาลนี้กลับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมติดอันดับท็อป 5 ของตารางคะแนน...[...]
โรเมโอ ลาเวีย (Romeo Lavia) กองกลางดาวรุ่ง ที่ทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมต่างให้ความสนใจ สุดท้ายก็เป็นทาง “สิงห์บลูส์” เชลซี (Chelsea) ที่มือไวกว่าช้อนซื้อแข้งรายนี้ไปร่วมทีมได้ก่อนใคร สืบเนื่องจากเมื่อตอนที่ทีม “นักบุญ” เซาแธมป์ตัน (Southampton) ต้องกระเด็นตกชั้นจากศึก...[...]
ออสการ์ บ็อบบ์ (Oscar Bobb) ปีกดาวรุ่งจอมพลิ้วของทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (Manchester City) และทีมชาตินอร์เวย์ เขาคนนี้ถือเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นตัวความหวังที่เหล่าสาวก “เรือใบสีฟ้า” คาดหวังว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นขุมกำลังหลักทดแทนแข้งรุ่นพี่ที่เริ่มหมดอายุการใช้งาน...[...]
เฟเดริโก้ คิเอซ่า (Federico Chiesa) ปีกชาวอิตาเลียน แข้งใหม่ป้ายแดงของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล (Liverpool) ที่เพิ่งย้ายมาร่วมทีมสดๆ ร้อนๆ เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2024 ที่ผ่านมา และเนื่องจากเขาเคยมีส่วนช่วยทีมชาติอิตาลี คว้าแชมป์ ยูโร 2020 ได้สำเร็จ...[...]
©2014 SBOBETONLINE24.COM ALL RIGHTS RESERVED. POWERED BY SBOBET.