เปโดร เนโต้ (Pedro Neto) นักเตะทีม เชลซี เชื่อว่าใครที่เป็นสาวกของทีม “สิงห์บลูส์” น่าจะเซอร์ไพรส์ไม่น้อยกับการมาของ ปีกจอมพลิ้ววัย 24 ปีที่เพิ่งย้ายจาก วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส (Wolverhampton Wanderers) มาร่วมทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์ 2024 ที่ผ่านมา ซึ่งแข้งรายนี้นอกจากจะเป็นขุมกำลังสำคัญของ วูล์ฟแฮมป์ตัน เมื่อฤดูกาล 2023/24 แล้ว เขายังมีดีกรีเป็นถึงแข้งทีมชาติโปรตุเกสชุดใหญ่อีกด้วย โดยวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับแนวรุกจอมพลิ้วป้ายแดงคนนี้กัน

ประวัติส่วนตัว เปโดร เนโต้

เปโดร เนโต้ (Pedro Neto) เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ.2000 ที่เมือง วีอานา โด คาสเทโล (Viana do Castelo) ทางตอนเหนือของประเทศโปรตุเกส โดย เนโต้ เริ่มเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพจากการเป็นนักเตะในศูนย์ฝึกของทีมบราก้า (Braga) ขณะอายุ 13 ปี จนกระทั่งในปี 2017 เขาถูกดึงขึ้นไปติดทีมชุดใหญ่และได้ลงเล่นเกมแรกในเกมลีกฤดูกาล 2016/17 ที่ บราก้า เอาชนะ นาซิอองนาล (Nacional) 4-0 แถมเขายังสามารถทำประตูได้อีกด้วย กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดของสโมสรที่สามารถทำประตูในเกมลีกได้ ต่อมาในฤดูกาล 2018/19 เนโต้ ก็ย้ายไปร่วมทีม ลาซิโอ (Lazio) ทีมดังในศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ด้วยสัญญายืมตัว 1 ปี พ่วงเงื่อนไขซื้อขาด แต่น่าเสียดายที่เขากลับได้รับโอกาสลงสนามรวมทุกรายการไปเพียง 5 นัด และไม่สามารถทำประตูหรือแอซซิสต์ได้เลย ทำให้ทาง “อินทรีฟ้าขาว” ตัดสินใจไม่ซื้อขาด ก่อนที่จะเป็นทาง “หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส ที่โผล่เข้ามาคว้าตัวเขาไปร่วมทีมในช่วงเดือนสิงหาคม 2019

เปโดร เนโต้ ลงเล่นในเกม พรีเมียร์ลีก ครั้งแรกในเกมที่ วูล์ฟฯ เสมอกับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) 1-1 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2019 โดยผลงานในซีซัน 2019/20 ซึ่งเป็นซีซันแรกของเขากับกับ วูล์ฟฯ ก็ถือว่าน่าพอใจ ลงเล่นไป 44 นัด ทำได้ 5 ประตู กับอีก 5 แอสซิสต์ รวมทุกรายการ ส่วนผลงานในฤดูกาล 2020/21 นั้น เขามีส่วนสำคัญในการพา วูล์ฟฯ บุกไปเอาชนะ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล (Arsenal) ในเกมลีกได้ถึงถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ด้วยสกอร์ 2-1 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2020 ซึ่งถือเป็นการบุกไปชนะ อาร์เซนอล ถึงถิ่นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1979 เลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่เขาได้รับบาดเจ็บหนักในเกมที่พ่าย ฟูแล่ม (Fulham) 1-0 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2021 ทำให้เขาไม่ได้ลงเล่นอีกเลยจนจบฤดูกาล และยังส่งผลให้ในฤดูกาล 2021/22 เนโต้ ได้ลงเล่นรวมทุกรายการไปเพียง 13 นัดเท่านั้น แถมในเดือนตุลาคม 2022 เขายังได้รับบาดเจ็บซ้ำที่ข้อเท้าจนต้องเข้ารับการผ่าตัดและพักรักษาตัวนานกว่า 5 เดือน และได้กลับมาลงเล่นอีกครั้งช่วงเดือนมีนาคม 2023 ซึ่งถือเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขาในสีเสื้อ วูล์ฟแฮมป์ตัน

ในวันที่ 11 สิงหาคม 2024 เนโต้ ย้ายไปค้าแข้งกับ เชลซี ด้วยสัญญา 7 ปี ค่าตัวราว 51 ล้านปอนด์ โดยเขาได้ลงเล่นอย่างเป็นทางการเกมแรกในเกม พรีเมียร์ลีก ที่ เชลซี พ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (Manchester City) 2-0 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2024 ที่ผ่านมา

จุดเด่นและสไตล์การเล่นของ เปโดร เนโต้

จุดเด่นของ Pedro Lomba Neto คือเป็นผู้เล่นแนวรุกที่มีทั้งความเร็วและความคล่องตัวสูง โดยเขาเป็นนักเตะที่วิ่งเร็วที่สุดเป็นอันดับ 4 ของ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023/24 แม้แต่เพื่อนร่วมทีมอย่าง “มิไคโล มูดริก” (Mykhaylo Mudryk) ที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวจี๊ดเรื่องความเร็วก็ยังวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดไม่เกิน 35.73 กม./ชม. ขณะที่ เนโต้ วิ่งทำความเร็วได้ถึง 36.86 กม./ชม. นอกจากนี้ เนโต้ ยังมีจุดเด่นในเรื่องการดวล 1 ต่อ 1 กับคู่แข่ง โดยไม่ว่าเขาจะเล่นอยู่ริมเส้นทางขวาหรือซ้าย เขาก็สามารถเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งเข้าไปในพื้นที่อันตรายได้เสมอ ในฤดูกาล 2023/24 เขาเคยทำสถิติเลี้ยงบอลเป็นระยะทางเฉลี่ยต่อเกมมากถึง 14.53 เมตรเลยทีเดียว

ส่วนสไตล์การเล่นของ เปโดร เนโต้ กับ เชลซี ภายใต้การคุมทัพของกุนซือ “เอ็นโซ่ มาเรสก้า” (Enzo Maresca) คาดว่าจะเป็นในรูปแบบ 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 โด เนโต้ จะเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายหรือขวา คอยเลี้ยงบอลและตัดเข้าไปยิง หรือเลี้ยงไปถึงริมเส้นแล้วตบกลับเข้ากลางให้เพื่อนร่วมทีมเข้าชาร์ตทำประตู ซึ่งอย่างหลังนี้ เนโต้ เคยทำได้อย่างน่าพอใจเมื่อฤดูกาล 2023/24 โดยเขามีค่าเฉลี่ยการแอสซิสต์ต่อเกมมากถึง 0.53 เป็นรองแค่ “เควิน เดอ บรอยน์” (Kevin De Bruyne) ของ แมนฯ ซิตี้ เพียงคนเดียวเท่านั้น

ผลงานที่น่าสนใจของ เปโดร เนโต้

สำหรับ เปโดร ลอมบา เนโต นอกจากการลงเล่นในนามสโมสรแล้ว เขายังมีชื่อลงเล่นให้ทีมชาติโปรตุเกส ชุดใหญ่ ตั้งแต่ปี 2020 จนถึงตอนนี้เขาลงเล่นให้ทีมชาติบ้านเกิดไปแล้ว 13 นัด ทำได้ 1 ประตู ส่วนผลงานกับสโมสรนั้น เขาลงเล่นรวมทุกรายการกับทุกสโมสรไปแล้ว 158 นัด ทำได้ 18 ประตู กับอีก 27 แอสซิสต์ สามารถคว้าถ้วยรางวัลและเกียรติประวัติได้ดังนี้

• แชมป์ โคปปา อิตา เลีย: 2018/19
• ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนของวูล์ฟแฮมป์ตัน: กันยายน 2023