Barcelona หรือ บาร์เซโลนา ยอดทีมจากประเทศสเปน สโมสรจากเมืองบาร์เซโลนา แห่งแคว้นกาตาลุญญา ลงแข่งอยู่ลีกสูงสุดของแดนกระทิงดุ อย่าง ลาลีกา สเปน  พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคปัจจุบัน สามารถคว้าได้มากมายทั้งในประเทศและนอกประเทศ โดยแฟนบอลทั่วโลกจะคุ้นเคยกันในชื่อ บาร์ซา

การก่อตั้งสโมสรบาร์เซโลนา

สโมสรบาร์เซโลนา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1899 จากกลุ่มนักฟุตบอลสวิส อังกฤษ และสเปน  ซึ่งมี ฌูอัน กัมเป เป็นผู้ริเริ่ม กัมเป เขาเป็นนักฟุตบอลและประธานสโมสร ชาวสวิส ที่ได้ก่อตั้งสโมสรหลายๆ ทีม ทั้งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์และกาตาลุญญา โดยมีสโมสรชื่อดังอย่าง เอฟซี ซูริค, สโมสรบาเซิล และสโมสรบาร์เซโลนา เป็นต้น บาร์ซา ถือเป็นสโมสรสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมคาตาลัน โดยมีคำขวัญประจำสโมสรว่า “Mes que un club” ซึ่งแปลว่า มากกว่าสโมสร

สโมสรประสบความสำเร็จอย่างมากในการลงแข่งขันช่วงแรก ทั้งรายการบอลถ้วยและระดับชาติ พวกเขาเริ่มลงแข่งในรายการ กัมเปียวนัตเดกาตาลุนยา และโกปาเดลเรย์ พวกเขาคว้าถ้วยแรกของสโมสรอย่าง โกปามากายา ในปี ค.ศ. 1902 ต่อมา กัมเป ได้ขึ้นเป็นประธานสโมสรในปี ค.ศ. 1908 โดยได้รับตำแหน่งประธานสโมสรถึง 5 วาระด้วยกัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 จนถึง 1925 รวมแล้วกว่า 25 ปี ที่เขาดำรงตำแหน่งประธานของสโมสร หนึ่งในความสำเร็จระหว่างดำรงตำแหน่ง คือ การช่วยให้สโมสรมีสนามกีฬาของตัวเอง ส่งผลให้สโมสรมีรายได้ที่มั่นคง

สนามกีฬาของสโมสร บาร์เซโลนา

สนามแห่งแรกของ บาร์ซา มีชื่อว่า “กัมเดลาอินดุสเตรีย” มีที่นั่งจุผู้ชมได้ 8,000 คน ก่อนที่ในปี ค.ศ.1922 กัมเป ได้จัดการรณรงค์หาสมาชิกของสโมสรเพิ่ม กว่า 20,000 คน ทำให้ทางสโมสรมีฐานะทางการเงินที่เพียงพอต่อการจะสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ในชื่อ “เลสกอตส์” โดยสามารถจุผู้นั่งชมได้ถึง 22,000 คน ก่อนที่ต่อมาจะขยายเพิ่มเป็น 60,000 คน

ต่อมา แจ็ก กรีนเวลล์ (Jack Greenwell) ได้เป็นผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสร ได้รับสัญญาเต็มเวลาและได้ริเริ่มพัฒนา ช่วงยุคของ กัมเป โดยเขาสามารถพา บาร์เซโลนา คว้าแชมป์มากมาย อย่าง กัมเปียนัตเดกาตาลัน 11 ครั้ง ถ้วยโกปาเดลเรย์ 6 ครั้ง รวมถึงถ้วยพิเรนีส 4 ครั้ง และนั้นถือยุคทองของสโมสรครั้งแรก

สงครามกลางเมืองและผลกระทบต่อบาร์เซโลนา

วันที่ 14 มิถุนายน ของปีค.ศ.1925 แฟนบอลและฝูงชนจำนวนมากได้ทำการร้องเพลงชาติเพื่อเป็นการประท้วงต่อระบอบเผด็จการจากผู้นำ มีเกล เด รีเบรา ส่งผลให้สนามถูกปิดยาวนานถึง 6 เดือน ด้วยการโต้ตอบทางการทหารพร้อมบีบให้ กัมเป ถอนตัวจากการเป็นประธานสโมสร ผลพวงจากเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสโมสรสู่ความเป็นมืออาชีพ

หนึ่งปีถัดมาผู้บริการของบาร์เซโลนาได้ทำการประกาศสู่สาธารณะ ว่าบาร์เซโลนาจะก้าวสู่สโมสรมืออาชีพเป็นครั้งแรก และสโมสรได้ชนะการแข่งขันถ้วยสเปน จนมีการแต่งบทกวีเพื่อเฉลิมฉลองในชื่อ “โอดาอาปลัตโก” แต่งขึ้นโดยเหล่าสมาชิกกลุ่มเจเนอเรชันออฟ’27 นามว่า ราฟาเอล อัลเบร์ตี โดยได้รับแรงบัลดาลใจมาจากวีรกรรมของผู้รักษาประตูบาร์ซา

จนมาถึงวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ.1930 กัมเป ได้ฆ่าตัวตายจากความเครียดที่สะสมมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัวและปัญหาด้านการเงิน

แม้ว่าบาร์เซโลนาจะประสบความสำเร็จแค่ไหน แต่พวกเค้าเข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อมถอย จากความขัดแย้งด้านการเมืองที่ลดความสำคัญของกีฬาลง แม้พวกเค้าจะคว้าแชมป์มากมายอย่าง กัมเปียนัตเดกาตาลัน ในปี ค.ศ.1930, 1931, 1932, 1934, 1936 และในปี 1938 โดยมีการเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในปี ค.ศ.1936 ทำให้ต้องมีนักฟุตบอลหลายคนจากแคว้นคาตาลัน จากสโมสรบาร์เซโลนาและแอธเลติก บิลเบา เข้าไปเป็นทหารเพื่อต่อต้านการปฏิวัติ ในเวลานั้นประธานสโมสรอย่าง ชูเซบ ซุนยอล ที่ควบตำแหน่งตัวแทนพรรคสนับสนุนการเมืองเสรี ถูกฆาตกรรม จากกลุ่มทหารฟาลังเคใกล้กับเมืองกวาดาร์รามา

หลังจากสงครามการเมือง ส่งผลให้มีการสั่งห้ามใช้ธงชาติคาตาลันและบังคับให้สโมสรที่ชื่อภาษาสเปน จนทำให้บาร์เซโลนาต้องเปลี่ยนเป็น กลุบเดฟุตบอลบาร์เซโลนา (Club de Fútbol Barcelona) พร้อมเอาธงคาตาลันออกจากตราสโมสรทันที

จนมาถึงปี ค.ศ.1943 ในการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ โกปาเดลเฆเนราลิซิโม เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างคู่ปรับตลอดกาลอย่าง บาร์เซโลนาและเรอัล มาดริด ทั้ง 2 ทีมเป็นเหมือนตัวแทนทางด้านการเมืองระหว่าง แคว้นกาตาลุญญาและชาติสเปน นัดแรกลงแข่งขันกันที่สนามของบาร์เซโลนา เลสกอตส์ เจ้าบ้านคว้าชัยเหนือทีมเยือนไปได้ 3-0 ต่อมีก่อนการแข่งขันในนัดที่ 2 ที่บ้านของเรอัล มาดริด จอมพล ฟรันซิสโก ฟรังโก ได้เข้ามาเยี่ยมในห้องพักนักเตะของบาร์เซโลนา พร้อมเตือนพวกเขาว่า ที่พวกเขาสามารถลงแข่งขันในนัดนี้ได้ เป็นเพราะความกรุณาต่อระบอบการปกครอง และนัดนั้นจบลงด้วยผลสกอร์ 11-1 ทำให้เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ไปอย่างสบายเท้า และนั่นส่งผลให้เห็นถึงความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่าง สโมสรบาร์เซโลนา และสโมสรเรอัล มาดริด

กำเนิดสนาม คัมป์ นู และสิ้นสุดระบอบเผด็จการ

คริสต์ทศวรรษ 1960 คู่ปรับอย่าง เรอัล มาดริด ครองความยิ่งใหญ่ด้วยการถือแชมป์แต่เพียงผู้เดียว เพราะในเวลานั้น บาร์เซโลนา ทุ่มเงินไปกับการสร้างสนาม คัมป์ นู ส่งผลให้ไม่มีเงินมากพอที่จะเสริมทัพนักเตะด้วยผู้เล่นใหม่ จน คัมป์ นู สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1957 บาร์ซา จึงเริ่มกลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งในปี ค.ศ.1963 กับถ้วยโกปาเดลเฆเนราลิซิโม และในค.ศ.1966 ก็คว้าถ้วยแฟส์คัป และอีกครั้งในปี ค.ศ.1968 ในถ้วยโกปาเดลเฆเนราลิซิโม โดยในนัดชิงครั้งนี้เป็นอีกนัดที่น่าจดจำมาก เมื่อเป็นการเจอกันกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด อีกครั้ง บนสนามเบร์นาเบว ต่อหน้าจอมพลฟรังโก และบาร์ซาสามารถเอาชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 1-0

จนมาถึงในปีค.ศ.1974 เป็นปีที่สิ้นสุดระบอบเผด็จการของจอมพลฟรังโก สโมสรจึงได้ทำการเปลี่ยนชื่อสโมสรกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งอย่างเป็นทางการ และเปลี่ยนตราสัญลักษณ์สโมสรกลับมาเป็นแบบเดิม พร้อมด้วยธงและตัวอักษรดั้งเดิม

การมาของนักเตะเทวดา โยฮัน ครัฟฟ์

โยฮัน ครัฟฟ์ ตำนานและขวัญใจแห่งแคว้าคาตาลัน นักเตะเทวดา

มาจนถึงฤดูกาล 1973-74 สโมสรบาร์เซโลนาตัดสินใจทุ่มเงินมหาศาลถึง 920,000 ปอนด์ สำหรับค่าตัวของ โยฮัน ครัฟฟ์ จากอายักซ์ และนั่นส่งผลให้เป็นสถิติค่าตัวสูงสุดของโลกในเวลานั้นทันที เวลานั้น ครัฟฟ์ ถือว่าเป็นนักเตะที่ได้รับการยอมรับว่าเก่งที่สุดของโลก ด้วยการคว้ารางวัลบัลลงดอร์ในปี ค.ศ.1971 สมัยที่เล่นอยู่กับ อายักซ์ และการมาของ ครัฟฟ์ ทำให้บาร์ซาแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ครัฟฟ์ ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วและสร้างความประทับใจให้กับเหล่าแฟนบอลกาตาลุญญา ด้วยการประกาศกับทางสื่อยุโรปถึงเหตุผลที่เลือกย้ายเข้าสู่บาร์เซโลนา โดยไม่เลือกเรอัล มาดริด เพราะว่าเขายอมรับไม่ได้และไม่ต้องการลงเล่นให้กับสโมสรที่มีเกี่ยวข้องกับจอมพลฟรังโกได้ นอกจากนี้เขายังได้ตั้งชื่อลูกชายของเขาในภาษาคาตาลันว่า “คอร์ดี” (Jordi) ชื่อเดียวกับนักบุญท้องถิ่น

และทันทีที่การมาของ โยฮัน ครัฟฟ์ ในฤดูกาล 1973-1974 บาร์เซโลนา สามารถคว้าแชมป์ลาลีกาได้ทันที หลังจากได้แชมป์นี้ครั้งล่าสุดในปี ค.ศ.1960 โดยสามารถเอาชนะเรอัล มาดริด ไปได้ถึง 5-0 ถึงสนามเบร์นาเบว ขณะเดียวกัน ครัฟฟ์ ได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งทวีปยุโรป หรือบัลลงดอร์ ประจำปี ค.ศ.1973 และนั้นเป็นบัลลงดอร์ครั้งที่ 2 ของเขา และครัฟฟ์ยังได้รับรางวัลนี้อีกครั้งในปี ค.ศ.1974 กับบาร์เซโลนา และเป็นนักเตะคนแรกที่ทำได้ 3 สมัยทันที

ประธานนูเญซและยุคแห่งความมั่นคง

ชูเซบ ยุยส์ นูเญซ ได้รับเป็นประธานสโมสรในปี ค.ศ.1978 จากการได้รับเลือกตั้งจากเหล่าสมาชิกของสโมสร พร้อมกับช่วงที่ประเทศสเปนได้เปลี่ยนมาเป็นระบอบของประชาธิปไตยปี ค.ศ.1974 ซึ่งเป้าหมายหลักของประธาน นูเญซ คือการพัฒนาทีมบาร์ซาไปสู่ระดับโลก พร้อมสร้างความมั่นคงกับสโมสรทั้งในและนอกสนาม จากคำแนะนำของ โยฮัน ครัฟฟ์

นูเญซ ได้เลือกสถาบันเยาวชนหรือแหล่งเพาะพันธ์ต่างดาวแห่งใหม่ เขาเลือก “ลา มาเซีย” เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ.1979 นูเญซ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานยาวนานเป็นเวลาถึง 22 ปี ทำให้มีผลต่อภาพลักษณ์ของสโมสรอย่างมากทีเดียว นูเญซจัดการตั้งนโยบายเกี่ยวกับสัญญาค่าจ้างและวินัยของนักเตะ เขาให้ค่าตัวแก่นักฟุตบอลที่ต้องการเท่ากับจำนวนที่นักเตะต้องการ ทำในยุคของ นูเญซ มี 3 นักเตะระดับสุดยอดของโลกเข้ามาร่วมทัพอย่าง ดีเอโก้ มาราโดน่า, โรมาริโอ, โรนัลโด (r9)

การไล่ล่าความสำเร็จกับ 3 สุดยอดนักเตะของโลก

3 สุดยอดนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลก บนเสื้อบาร์เซโลนา

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1982 สโมสรได้ทำการเซ็นสัญญากับ มาราโดนา ด้วยตัวเป็นสถิติโลกอีกครั้ง พวกเขาจ่ายเงินจำนวน 5 ล้านปอนด์ ให้กับทางสโมสรฟุตบอลโบคาจูเนียส์ ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ เมนอตตี ฤดูกาลนั้น บาร์เซโลนาชนะการแข่งขันโกปาเดลเรย์ พวกเขาคว่ำคู่ปรับอย่าง เรอัล มาดริด ลงได้ แต่เขาก็อยู่กับบาร์เซโลนาได้ไม่นานมากนัก เนื่องจากเกิดอาการบาดเจ็บถึงขั้นขาหัก เขาลงเล่นให้บาร์เซโลน่าไป 58 นัด ยิงไปทั้งหมด 38 ประตู

แต่แล้วในปี ค.ศ.1988 โยฮัน ครัฟฟ์ ได้กลับมาบาร์เซโลนาอีกครั้งในฐานผู้จัดการทีม เขาได้ดึงนักเตะจากชุดเยาวชนขึ้นมาเล่นผนึกกำลังกับนักเตะที่ซื้อเข้ามา โดยชุดนั้นประกอบไปด้วย  เปป กวาร์ดิโอลา, โคเซ มารี บาเกโร และ ตซีกี เบกีริสไตน์ ส่วนนักเตะที่เซ็นสัญญาเข้ามามีตั้งแต่ โรนัลด์ คูมัน, ไมเคิล เลาดรู๊ป และที่ขาดไม่ได้เลยคือ โรมาริโอ

ภายใต้การนำทัพของ โยฮัน ครัฟฟ์ สโมสรบาร์เซโลน่าประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น เขาพาบาร์ซาคว้าแชมป์ลาลีกา 4 สมัยติดต่อกัน ช่วยปีค.ศ. 1991 ถึง 1994 พร้อมยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ  ปีค.ศ.1989 และ โกปาเดลเรย์ ปีค.ศ.1990 ยังพาสโมสรชูแชมป์บอลถ้วยยุโรป ปีค.ศ.1992 พร้อมกับยูฟ่าซูเปอร์คัพในปีเดียวกัน ไปจนถึง ซูเปอร์ โกปา เด เอสปาญา อีก 3 ครั้ง รวมถ้วยรางวัลที่ ครัฟฟ์ นำเข้าสู่สโมสรทั้งหมดมากถึง 11 ถ้วย ส่งผลให้ ครัฟฟ์ เป็นผู้จัดการทีมของเจ้าบุญทุ่มที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาลคนหนึ่งทันที เขารับหน้าที่ผู้จัดการยาวนานถึง 8 ปี แต่แล้ว 2 ฤดูกาลสุดท้าย เขาไม่สามารถคว้าแชมป์ได้มากนักทำให้เขาต้องลาออกจากสโมสรไป

มาจนถึงฤดูกาล 1996-1997 บ็อบบี ร็อบสัน ได้เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน ครัฟฟ์ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อแก้ปัญหาของสโมสร เข้าจัดการดึงหนึ่งในนักเตะสุดยอดของโลกในเวลานั้นอย่าง โรนัลโด(r9) หรือ โรนัลโด หลุยส์ นาซาริโอ เดอลิมา จากสโมสรพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น เพียงปีเดียว พวกเขาก็จัดการคว้ารางวัลได้ถึง 3 ถ้วยอย่าง โกปาเดลเรย์, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และซูเปอร์ โกปา เด เอสปาญา แต่โรนัลโดก็อยู่กับทีมได้เพียงฤดูกาลเดียวตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ อินเตอร์มิลาน

การกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ของ บาร์เซโลนา ภายใต้ยุคฟาน กัล

ฤดูกาลถัดมา หลุยส์ ฟาน กัลป์ เซ็นสัญญาคุมทีมบาร์ซา พร้อมดึงตัวนักเตะใหม่อย่าง หลุยส์ ฟิโก้, แพททริค ไคลเวิร์ต, หลุยส์ เอ็นริเก้ พร้อมด้วย ริวัลโด้ พวกเขาสามารถพาทีมชนะโกปาเดลเรย์และลาลีกา ปี ค.ศ.1998 และปีค.ศ.1999 ส่ง ริวัลโด้ เป็นนักเตะที่ได้รับนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป เป็นคนที่ 4 ของสโมสรทันที แต่ถึงอย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จในถ้วยที่ใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรปอย่าง แชมเปียนส์ลีก

ลาปอร์ตาพาสโมสรก้าวสู่ยุคสมัยใหม่

ด้วยความคาดหวังในการคว้าแชมป์เปยีนส์ลีก ทำให้กดดันนูเญซและฟาน กัลป์ ต้องลาออกจากสโมสรออกไปทั้งคู่ ในปีค.ศ.2000 นอกจากประธานสโมสรและผู้จัดการทีมจะลาออกไปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งนักเตะขวัญใจของชาวคาตาลัน อย่าง หลุยส์ ฟิโก้ ที่เป็นถึงรองกัปตันทีมสโมสรขณะนั้น ได้ตัดสินใจย้ายทีมโดยตรงไปยัง ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด คู่แค้นตลอดกาลของพวกเขา ที่ขณะราชันชุดขาวได้มีแผนการสร้าง “กาลาคติกอส รุ่นที่ 1” หรือการดึงนักเตะชั้นนำของโลกจากทั่วทุกมุมโลกมาไว้ในทีม และ หลุยส์ ฟิโก้ คือเป้าหมายเบอร์ 1 ของ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ที่ดำรงตำแหน่งประธานสโมสรเรอัล มาดริด ในขณะนั้น ส่งผลให้แฟนบอลบาร์ซาเสียสติและคลุ้มคลั่งอย่างมาก เมื่อ ฟิโก้ กลับมาเล่นที่คัมป์ นู อีกครั้งในฐานะคู่แข่ง ขนาดเวลาที่ลงเล่น เขาถูกปาข้าวของทั้ง ขวด, เหรียญ ไปจนถึงหัวหมูเลยทีเดียว

ระหว่างที่ นูเญซ ตัดสินใจลาออกไป พวกเขาก็ได้มี ชูอัง กัสปาร์ต เข้ามาทำหน้าที่ เขาอยู่ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 3 ปีด้วยกัน แต่ด้วยปัญหาหลายอย่าง สโมสรเริ่มตกต่ำและผู้จัดการทีมก็เปลี่ยนผลัดเข้ามาหลายต่อหลายครั้ง เขาจัดการดึง ฟาน กัลป์ กลับมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถการันตีความสำเร็จและความเชื่อมั่นได้ ทำให้เขาและฟาน กัลป์ ต้องออกจากสโมสรไปในปี 2003

จนมีประธานหนุ่มไฟแรงคนใหม่อย่าง ฮวน ลาปอร์ตา เข้ามากู้สโมสรให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมดึงผู้จัดการทีมหนุ่มชาวดัตช์ อย่าง แฟรงค์ ไรจ์การ์ด พร้อมมีผู้เล่นชาวต่างชาติมากมายย้ายเข้ามาเล่นให้บาร์เซโลนา ทำให้สโมสรค่อยๆ กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง  บาร์ซาชนะรายการลาลีกาและซูเปอร์ โกปา เด เอสปาญา ประจำฤดูกาล 2004-2005 พร้อมกับกองกลางของทีมในเวลานั้นอย่าง โรนัลดินโญ่ ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า อีกด้วย

หลังจากเข้าสู่ยุคใหม่ของเจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลนาก็ยังรักษามาตรฐานได้อย่างดี พวกเขาสามารถรักษาตำแหน่งแชมป์ลีกและบอลถ้วยได้อย่างดี ในฤดูกาลพวกเข้าได้ครองความยิ่งใหญ่บนเวทียุโรปด้วยการโค่นยอดทีมจากลีกอังกฤษอย่าง สโมสรอาร์เซน่อล ในรอบชิงชนะเลิศด้วยประตู 2-1 และนับว่าเป็นการคว้าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีของสโมสร

แต่ฤดูกาลถัดมาผลงานของพวกเขาผิดจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว หลังพวกเขาเปิดตัวได้อย่างสวยงามด้วยการครองอันดับ 1 ในลีกเกือบจนจบฤดูกาล แต่สุดท้ายโดนคู่อริอย่าง เรอัล มาดริด ปาดหน้าคว้าแชมป์ลีกในช่วงโค้งสุดท้ายไปอย่างหน้าตาเฉย หลายคนเชื่อกันว่ามีความไม่ลงรอยภายในทีมบาร์ซา และฤดูกาลต่อมา 2007-2008 พวกเราก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ทำให้ต้องตัดสินใจแยกทางกับ ไรจ์การ์ด และดึงตัว เปป กวาร์ดิโอลา ที่เป็นผู้จัดการทีมชุดบีอยู่ในเวลานั้นขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่แทนจนจบฤดูกาล

บาร์ซาของเปป กวาร์ดิโอลาที่แข็งแกร่งมาจนถึงปัจจุบัน

การมาของ เปป กวาร์ดิโอลา เหมือนเป็นสร้างบาร์ซาขึ้นมาใหม่ในแบบของ กวาร์ดิโอลา เอง ด้วยการดึงนักเตะจากชุดบีและดาวรุ่งขึ้นมาเล่นมากมาย เขาจัดการขายสตาร์ของทีมอย่าง โรนัลดินโญ่ พ้นจากทีม และตั้งเป้าให้ เมสซี เป็นแกนหลักของทีมแทน

กวาร์ดิโอลา เปลี่ยนให้บาร์เซโลนาเป็นยอดทีมอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเอาชนะแอธเลติก บิลเบา รอบชิงชนะเลิศโกปาเดลเรย์ ปี 2009 ไปถึง 4-1 ประตู พร้อมกับทำลายสถิติเป็นผู้คว้าถ้วยใบนี้สูงสุดที่ 25 ครั้ง ต่อมาอีก 3 วัน พวกเขาก็เอาชนะเรอัล มาดริด ในศึกลาลีกาได้ ส่งบาร์เซโลนาจบอันดับ 1 ของลีก ก่อนที่จะมาเอาชนะ สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด รอบชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีก ที่มีดีกรีเป็นแชมป์เมื่อปีที่แล้วไปถึง 2-0 เป็นแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 3 ของทีม และยังเป็นทีมแรกของสโมสรจากสเปนที่ได้ 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียว

กุนซืออย่าง กวาร์ดิโอลา เข้ามาทำทีมเพียงแค่ 3 ปีครึ่งเท่านั้น แต่สามารถคว้าไปถึง 13 ถ้วยแชมป์จาก 16 รายการที่มีโอกาสลงแข่งขัน ทำให้เขาเป็นกุนซือที่มีรางวัลติดมือเข้าสโมสรมากที่สุด แม้ปัจจุบัน เปป กวาร์ดิโอลา จะแยกทางกับทางสโมสร แต่ด้วยรากฐานที่ยอดกุนซือชาวสเปนรายนี้สร้างเอาไว้ ทำให้ปัจจุบันบาร์เซโลนายังคงแข็งแกร่งมาจนถึงปัจจุบันนี้